โปรแกรมบัญชีออนไลน์เป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้เราวางแผนภาษีได้อย่างรอบด้าน ช่วยให้ธุรกิจควบคุมต้นทุนได้ดีขึ้น ประหยัดเวลา และลดภาระเรื่องเอกสาร โดยมีส่วนช่วยจัดระบบและเชื่อมโยงข้อมูลสำคัญ ตั้งแต่รายรับ รายจ่าย จนถึงภาษี ทำให้เห็นภาพภาพรวมทางการเงินสะดวกขึ้น
วิธีใช้งานโปรแกรมบัญชี ให้วางแผนภาษีง่ายและแม่นยำขึ้น

ก่อนเริ่มใช้งานบัญชี ควรมีการวางแผนภาษีธุรกิจ โดยทำความเข้าใจกับประเภทภาษีที่เกี่ยวข้อง เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีหัก ณ ที่จ่าย และภาษีเงินได้เพื่อให้โปรแกรมบัญชีที่ใช้ สามารถคำนวณได้อย่างแม่นยำ และช่วยจัดเก็บเอกสารแบบมีระบบ นำโปรแกรมบัญชีออนไลน์เข้ามาใช้กับงานส่วนต่างๆ เพื่อให้จัดการธุรกิจได้อย่างเป็นระบบมากขึ้น
- บันทึกรายรับรายจ่ายแบบแยกหมวดหมู่ให้ชัดเจน การจัดหมวดหมู่ช่วยให้โปรแกรมแยกข้อมูลได้ เช่น ค่าใช้จ่ายค่าวัตถุดิบ ค่าขนส่ง หรือรายรับจากช่องทางต่างๆ
- ใช้งานฟีเจอร์สร้างเอกสารภาษีโดยอัตโนมัติ โปรแกรมบัญชีออนไลน์สามารถสร้างใบกำกับภาษี ใบเสร็จ และเอกสารที่เกี่ยวกับภาษีแบบครบชุด ช่วยลดภาระงานพิมพ์เอง
- ตรวจสอบรายงานภาษี ระบบจะสรุปยอดภาษีซื้อ ภาษีขาย หรือภาษีที่ต้องชำระในแต่ละรอบบัญชี ให้เห็นข้อมูลเรียลไทม์ ช่วยเตรียมตัวก่อนถึงกำหนดยื่นภาษีจริง
- เชื่อมโยงกับธนาคารและระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ โปรแกรมบัญชีออนไลน์บางตัวสามารถเชื่อมต่อกับธนาคารเพื่อนำเข้าข้อมูลการเงินโดยอัตโนมัติ และบางระบบรองรับฟอร์ม e‑Tax Invoice หรือ e‑Withholding Tax
- อัพเดทโปรแกรมตามกฎหมายและภาษีใหม่ๆ ระบบบัญชีที่ดีจะอัพเดทตัวเองให้สอดคล้องกับกฎหมายภาษีล่าสุด เช่น เปลี่ยนอัตราภาษี หรือปรับฟอร์มเอกสารภาษีที่กรมสรรพากรกำหนด
ข้อมูลเกี่ยวกับภาษี
ภาษีของไทยที่ต้องเสียทุกปีมีหลายประเภท ขึ้นอยู่กับสถานะของผู้เสียภาษีว่าเป็น บุคคลธรรมดา หรือ นิติบุคคล (บริษัท ห้างหุ้นส่วนจำกัด) โดยภาษีหลักๆ ที่มีการคำนวณและชำระเป็นประจำทุกปี ได้แก่
1. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (Personal Income Tax)
ภาษีประเภทนี้จะคำนวณจากรายได้สุทธิของบุคคลธรรมดาตลอดทั้งปีปฏิทิน (1 มกราคม – 31 ธันวาคม) มีขั้นตอนการคำนวณดังนี้:
ขั้นตอนที่ 1 หารายได้พึงประเมิน
รวบรวมรายได้ทุกประเภทที่ได้รับตลอดปี เช่น เงินเดือน, ค่าจ้าง, ค่าคอมมิชชัน, โบนัส, ค่าเช่า, ดอกเบี้ย, เงินปันผล และอื่นๆ ตามที่กฎหมายกำหนด
ขั้นตอนที่ 2 หักค่าใช้จ่าย
รายได้แต่ละประเภทสามารถหักค่าใช้จ่ายได้ตามกฎหมายกำหนด เช่น
- เงินเดือนและค่าจ้าง (มาตรา 40(1) และ 40(2)) สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ตามอัตราที่กฎหมายกำหนด (ปัจจุบันคือ 50% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 100,000 บาท)
- รายได้จากทรัพย์สิน (มาตรา 40(5)) สามารถเลือกหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาหรือตามจริงก็ได้
ขั้นตอนที่ 3 หักค่าลดหย่อน
นำรายได้ที่หักค่าใช้จ่ายแล้วมาหักค่าลดหย่อนต่างๆ ตามสิทธิ์ที่มี เช่น
- ค่าลดหย่อนส่วนตัว (60,000 บาท)
- ค่าลดหย่อนคู่สมรส
- ค่าลดหย่อนบุตร
- เบี้ยประกันชีวิต, เบี้ยประกันสุขภาพ
- เงินสะสมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, กองทุนบำเหน็จบำนาญ
- เงินบริจาค
- ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อที่อยู่อาศัย
ขั้นตอนที่ 4 คำนวณภาษีจากเงินได้สุทธิ
เมื่อหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนทั้งหมดแล้วจะได้ “เงินได้สุทธิ” ซึ่งจะนำมาคำนวณภาษีตามอัตราภาษีแบบขั้นบันได (Progressive Tax Rate) โดยอัตราภาษีจะเพิ่มขึ้นตามช่วงเงินได้สุทธิที่สูงขึ้น ดังนี้
เงินได้สุทธิ (บาท) | อัตราภาษี (%) |
0 – 150,000 | ยกเว้นภาษี |
150,001 – 300,000 | 5 |
300,001 – 500,000 | 10 |
500,001 – 750,000 | 15 |
750,001 – 1,000,000 | 20 |
1,000,001 – 2,000,000 | 25 |
2,000,001 – 5,000,000 | 30 |
5,000,001 ขึ้นไป | 35 |
2. ภาษีเงินได้นิติบุคคล (Corporate Income Tax)
ภาษีประเภทนี้จะคำนวณจากกำไรสุทธิของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนจำกัดในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชี (โดยปกติคือ 12 เดือน) มีขั้นตอนการคำนวณดังนี้:
ขั้นตอนที่ 1 หารายได้
รวบรวมรายได้ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในรอบระยะเวลาบัญชี
ขั้นตอนที่ 2 หักรายจ่าย
นำรายได้มาหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจทั้งหมด (ต้องเป็นรายจ่ายที่สามารถนำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายทางภาษีได้ตามกฎหมาย)
ขั้นตอนที่ 3 คำนวณภาษีจากกำไรสุทธิ
เมื่อนำรายได้หักรายจ่ายแล้วจะได้ “กำไรสุทธิทางบัญชี” จากนั้นจะนำมาปรับปรุงตามหลักเกณฑ์ของกรมสรรพากรเพื่อให้ได้ “กำไรสุทธิเพื่อเสียภาษี” และนำมาคำนวณภาษีตามอัตราที่กำหนด
สำหรับ ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ที่มีทุนจดทะเบียนชำระแล้วไม่เกิน 5 ล้านบาท และรายได้รวมไม่เกิน 30 ล้านบาท จะมีอัตราภาษีที่ลดหย่อน ดังนี้
- กำไรสุทธิ 0 – 300,000 บาท ยกเว้นภาษี
- กำไรสุทธิ 300,001 – 3,000,000 บาท อัตราภาษี 15%
- กำไรสุทธิเกิน 3,000,000 บาท อัตราภาษี 20%
ส่วน ธุรกิจที่ไม่ใช่ SME จะเสียภาษีในอัตราคงที่ 20% ของกำไรสุทธิ
ข้อควรรู้เพิ่มเติม
- ผู้ประกอบการในนามบุคคลธรรมดาต้องยื่นภาษีปีละ 2 ครั้ง (ภาษีครึ่งปี ภ.ง.ด. 94 และภาษีประจำปี ภ.ง.ด. 90)
- นิติบุคคลต้องยื่นภาษีปีละ 2 ครั้งเช่นกัน (ภาษีครึ่งปี ภ.ง.ด. 51 และภาษีประจำปี ภ.ง.ด. 50)
- นอกจากภาษีเงินได้แล้ว ธุรกิจที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปีจะต้องจดทะเบียนและชำระ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ด้วย โดยปัจจุบันอยู่ที่อัตรา 7%

ข้อดีของโปรแกรมบัญชีออนไลน์
โปรแกรมบัญชีออนไลน์ช่วยให้กระบวนการจัดเก็บภาษีเป็นระบบ ไม่ต้องมานั่งไล่เช็คข้อมูลทีละรายการ ช่วยให้สรุปภาษีได้ตามมาตรฐานกรมสรรพากร พร้อมระบบเตือนเมื่อถึงกำหนดยื่นภาษี และสามารถจัดการเอกสารภาษีได้ครบในที่เดียว
เริ่มใช้งานโปรแกรมบัญชี ไม่ยากอย่างที่คิด
เริ่มจากเลือกโปรแกรมบัญชีออนไลน์ที่เหมาะ เช่น ที่ออกใบกำกับภาษีอัตโนมัติ และมีฟีเจอร์รายงานภาษีครบ จากนั้นเริ่มใช้จริง โดยบันทึกข้อมูลทันทีที่เกิดรายการ ทำให้ไม่ตกหล่น และตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังได้สะดวก
การวางแผนภาษีแบบมีระบบช่วยให้ธุรกิจไม่ต้องปวดหัวเรื่องกฎหมายภาษี และช่วยให้การจัดการการเงินมีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น แนะนำให้เริ่มต้นที่การเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะกับธุรกิจ ดูว่าธุรกิจเราต้องการอะไร แล้วเลือกระบบโปรแกรมบัญชีออนไลน์ให้เหมาะสม เพียงเท่านี้การวางแผนภาษีก็ไม่ใช่เรื่องที่ใช้เวลานานอีกต่อไป

โปรแกรมบัญชีแนะนำ : https://acccloud.co.th/โปรแกรมบัญชี/