สิงหาคม 10, 2025
วางแผนภาษีสำหรับธุรกิจง่ายๆ ด้วยโปรแกรมบัญชีออนไลน์

วางแผนภาษีสำหรับธุรกิจง่ายๆ ด้วยโปรแกรมบัญชีออนไลน์

โปรแกรมบัญชีออนไลน์เป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้เราวางแผนภาษีได้อย่างรอบด้าน ช่วยให้ธุรกิจควบคุมต้นทุนได้ดีขึ้น ประหยัดเวลา และลดภาระเรื่องเอกสาร โดยมีส่วนช่วยจัดระบบและเชื่อมโยงข้อมูลสำคัญ ตั้งแต่รายรับ รายจ่าย จนถึงภาษี ทำให้เห็นภาพภาพรวมทางการเงินสะดวกขึ้น

วิธีใช้งานโปรแกรมบัญชี ให้วางแผนภาษีง่ายและแม่นยำขึ้น

ก่อนเริ่มใช้งานบัญชี ควรมีการวางแผนภาษีธุรกิจ โดยทำความเข้าใจกับประเภทภาษีที่เกี่ยวข้อง เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีหัก ณ ที่จ่าย และภาษีเงินได้เพื่อให้โปรแกรมบัญชีที่ใช้ สามารถคำนวณได้อย่างแม่นยำ และช่วยจัดเก็บเอกสารแบบมีระบบ นำโปรแกรมบัญชีออนไลน์เข้ามาใช้กับงานส่วนต่างๆ เพื่อให้จัดการธุรกิจได้อย่างเป็นระบบมากขึ้น

  • บันทึกรายรับรายจ่ายแบบแยกหมวดหมู่ให้ชัดเจน การจัดหมวดหมู่ช่วยให้โปรแกรมแยกข้อมูลได้ เช่น ค่าใช้จ่ายค่าวัตถุดิบ ค่าขนส่ง หรือรายรับจากช่องทางต่างๆ
  • ใช้งานฟีเจอร์สร้างเอกสารภาษีโดยอัตโนมัติ โปรแกรมบัญชีออนไลน์สามารถสร้างใบกำกับภาษี ใบเสร็จ และเอกสารที่เกี่ยวกับภาษีแบบครบชุด ช่วยลดภาระงานพิมพ์เอง
  • ตรวจสอบรายงานภาษี ระบบจะสรุปยอดภาษีซื้อ ภาษีขาย หรือภาษีที่ต้องชำระในแต่ละรอบบัญชี ให้เห็นข้อมูลเรียลไทม์ ช่วยเตรียมตัวก่อนถึงกำหนดยื่นภาษีจริง
  • เชื่อมโยงกับธนาคารและระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ โปรแกรมบัญชีออนไลน์บางตัวสามารถเชื่อมต่อกับธนาคารเพื่อนำเข้าข้อมูลการเงินโดยอัตโนมัติ และบางระบบรองรับฟอร์ม e‑Tax Invoice หรือ e‑Withholding Tax
  • อัพเดทโปรแกรมตามกฎหมายและภาษีใหม่ๆ ระบบบัญชีที่ดีจะอัพเดทตัวเองให้สอดคล้องกับกฎหมายภาษีล่าสุด เช่น เปลี่ยนอัตราภาษี หรือปรับฟอร์มเอกสารภาษีที่กรมสรรพากรกำหนด

ข้อมูลเกี่ยวกับภาษี

ภาษีของไทยที่ต้องเสียทุกปีมีหลายประเภท ขึ้นอยู่กับสถานะของผู้เสียภาษีว่าเป็น บุคคลธรรมดา หรือ นิติบุคคล (บริษัท ห้างหุ้นส่วนจำกัด) โดยภาษีหลักๆ ที่มีการคำนวณและชำระเป็นประจำทุกปี ได้แก่

1. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (Personal Income Tax)

ภาษีประเภทนี้จะคำนวณจากรายได้สุทธิของบุคคลธรรมดาตลอดทั้งปีปฏิทิน (1 มกราคม – 31 ธันวาคม) มีขั้นตอนการคำนวณดังนี้:

ขั้นตอนที่ 1 หารายได้พึงประเมิน

รวบรวมรายได้ทุกประเภทที่ได้รับตลอดปี เช่น เงินเดือน, ค่าจ้าง, ค่าคอมมิชชัน, โบนัส, ค่าเช่า, ดอกเบี้ย, เงินปันผล และอื่นๆ ตามที่กฎหมายกำหนด

ขั้นตอนที่ 2 หักค่าใช้จ่าย

รายได้แต่ละประเภทสามารถหักค่าใช้จ่ายได้ตามกฎหมายกำหนด เช่น

  • เงินเดือนและค่าจ้าง (มาตรา 40(1) และ 40(2)) สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ตามอัตราที่กฎหมายกำหนด (ปัจจุบันคือ 50% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 100,000 บาท)
  • รายได้จากทรัพย์สิน (มาตรา 40(5)) สามารถเลือกหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาหรือตามจริงก็ได้

ขั้นตอนที่ 3 หักค่าลดหย่อน

นำรายได้ที่หักค่าใช้จ่ายแล้วมาหักค่าลดหย่อนต่างๆ ตามสิทธิ์ที่มี เช่น

  • ค่าลดหย่อนส่วนตัว (60,000 บาท)
  • ค่าลดหย่อนคู่สมรส
  • ค่าลดหย่อนบุตร
  • เบี้ยประกันชีวิต, เบี้ยประกันสุขภาพ
  • เงินสะสมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, กองทุนบำเหน็จบำนาญ
  • เงินบริจาค
  • ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อที่อยู่อาศัย

ขั้นตอนที่ 4 คำนวณภาษีจากเงินได้สุทธิ

เมื่อหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนทั้งหมดแล้วจะได้ “เงินได้สุทธิ” ซึ่งจะนำมาคำนวณภาษีตามอัตราภาษีแบบขั้นบันได (Progressive Tax Rate) โดยอัตราภาษีจะเพิ่มขึ้นตามช่วงเงินได้สุทธิที่สูงขึ้น ดังนี้

เงินได้สุทธิ (บาท)อัตราภาษี (%)
0 – 150,000ยกเว้นภาษี
150,001 – 300,0005
300,001 – 500,00010
500,001 – 750,00015
750,001 – 1,000,00020
1,000,001 – 2,000,00025
2,000,001 – 5,000,00030
5,000,001 ขึ้นไป35

2. ภาษีเงินได้นิติบุคคล (Corporate Income Tax)

ภาษีประเภทนี้จะคำนวณจากกำไรสุทธิของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนจำกัดในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชี (โดยปกติคือ 12 เดือน) มีขั้นตอนการคำนวณดังนี้:

ขั้นตอนที่ 1 หารายได้

รวบรวมรายได้ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในรอบระยะเวลาบัญชี

ขั้นตอนที่ 2 หักรายจ่าย

นำรายได้มาหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจทั้งหมด (ต้องเป็นรายจ่ายที่สามารถนำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายทางภาษีได้ตามกฎหมาย)

ขั้นตอนที่ 3 คำนวณภาษีจากกำไรสุทธิ

เมื่อนำรายได้หักรายจ่ายแล้วจะได้ “กำไรสุทธิทางบัญชี” จากนั้นจะนำมาปรับปรุงตามหลักเกณฑ์ของกรมสรรพากรเพื่อให้ได้ “กำไรสุทธิเพื่อเสียภาษี” และนำมาคำนวณภาษีตามอัตราที่กำหนด

สำหรับ ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ที่มีทุนจดทะเบียนชำระแล้วไม่เกิน 5 ล้านบาท และรายได้รวมไม่เกิน 30 ล้านบาท จะมีอัตราภาษีที่ลดหย่อน ดังนี้

  • กำไรสุทธิ 0 – 300,000 บาท ยกเว้นภาษี
  • กำไรสุทธิ 300,001 – 3,000,000 บาท อัตราภาษี 15%
  • กำไรสุทธิเกิน 3,000,000 บาท อัตราภาษี 20%

ส่วน ธุรกิจที่ไม่ใช่ SME จะเสียภาษีในอัตราคงที่ 20% ของกำไรสุทธิ

ข้อควรรู้เพิ่มเติม

  • ผู้ประกอบการในนามบุคคลธรรมดาต้องยื่นภาษีปีละ 2 ครั้ง (ภาษีครึ่งปี ภ.ง.ด. 94 และภาษีประจำปี ภ.ง.ด. 90)
  • นิติบุคคลต้องยื่นภาษีปีละ 2 ครั้งเช่นกัน (ภาษีครึ่งปี ภ.ง.ด. 51 และภาษีประจำปี ภ.ง.ด. 50)
  • นอกจากภาษีเงินได้แล้ว ธุรกิจที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปีจะต้องจดทะเบียนและชำระ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ด้วย โดยปัจจุบันอยู่ที่อัตรา 7%

ข้อดีของโปรแกรมบัญชีออนไลน์

โปรแกรมบัญชีออนไลน์ช่วยให้กระบวนการจัดเก็บภาษีเป็นระบบ ไม่ต้องมานั่งไล่เช็คข้อมูลทีละรายการ ช่วยให้สรุปภาษีได้ตามมาตรฐานกรมสรรพากร พร้อมระบบเตือนเมื่อถึงกำหนดยื่นภาษี และสามารถจัดการเอกสารภาษีได้ครบในที่เดียว

เริ่มใช้งานโปรแกรมบัญชี ไม่ยากอย่างที่คิด

เริ่มจากเลือกโปรแกรมบัญชีออนไลน์ที่เหมาะ เช่น ที่ออกใบกำกับภาษีอัตโนมัติ และมีฟีเจอร์รายงานภาษีครบ จากนั้นเริ่มใช้จริง โดยบันทึกข้อมูลทันทีที่เกิดรายการ ทำให้ไม่ตกหล่น และตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังได้สะดวก

การวางแผนภาษีแบบมีระบบช่วยให้ธุรกิจไม่ต้องปวดหัวเรื่องกฎหมายภาษี และช่วยให้การจัดการการเงินมีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น แนะนำให้เริ่มต้นที่การเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะกับธุรกิจ ดูว่าธุรกิจเราต้องการอะไร แล้วเลือกระบบโปรแกรมบัญชีออนไลน์ให้เหมาะสม เพียงเท่านี้การวางแผนภาษีก็ไม่ใช่เรื่องที่ใช้เวลานานอีกต่อไป

โปรแกรมบัญชีแนะนำ : https://acccloud.co.th/โปรแกรมบัญชี/